วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หน้าต่างบานแรก-รักการอ่าน


หน้าต่างแห่งประสบการณ์ชีวิตบานแรก กสุมา สาติยะ “หน้าต่างบานแรก” เป็นนวนิยายขนาดสั้นเพียง 12 บท ที่กฤษณา อโศกสิน ได้หยิบยกชีวิตของวัยรุ่นที่ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบันมาเป็นข้อเตือนใจให้กับผู้อ่าน เนื้อเรื่องกล่าวถึง ฉายาเป็นลูกชายคนเดียวของโฉมและตระการ เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 2 ฉายาพบหนึ่งที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย หนึ่งเป็นลูกแม่ค้าขายข้าวแกง เธออายุ 16 ปี ชอบเที่ยวกลางคืนทำให้ถูกแม่ด่าอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ฉายาเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร จึงได้เสียกันจนปล่อยให้ท้อง ฉายาพาหนึ่งเข้าบ้านทำให้ตระการและโฉมโกรธมาก แต่ก็ทำใจได้ในที่สุด หนึ่งกลับสร้างความวุ่นวายสารพัดจนฉายารู้สึกเบื่อหน่าย ครั้นหนึ่งคลอดลูกสาวออกมา ทุกคนเลี้ยงดูเด็กน้อยอย่างดี เว้นแต่หนึ่งที่ออกไปทำงานนอกบ้านไม่สนใจลูกและมีสามีใหม่ ผู้แต่งเสนอนวนิยายผ่านโครงเรื่องการชิงสุกก่อนห่ามของวัยรุ่น โดยสร้างให้ฉายา หนุ่ม “ผิวสีทองแดงตึงแน่น กล้ามสวย...นัยน์ตางาม จมูกโด่ง แข้งขาสมบูรณ์ได้สัดส่วน...” (หน้า 4) พาหนึ่งเด็กสาวอายุ 16 ปี ที่เขามองว่า “เหมือนน้ำค้างกลางหาว” (หน้า 4) เข้าบ้าน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายภายในบ้านที่เคยสงบสุข ตอนนี้ปัญหาใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งตั้งท้อง ทำให้โฉมและตระการต้องแบกภาระเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนึ่งอยู่บ้านก็ทำตัวเป็น ไม้เบื่อไม้เมากับโฉมและสด สาวรับใช้ในบ้านตลอด ความรักที่ฉายากับหนึ่งมีให้กันก็เริ่มเปลี่ยนไป “ฉายาหวังจะได้รับการเอาอกเอาใจจากเมียสาวบ้าง หวังว่าจะยังคงไปไหนไปได้กับผองเพื่อนกลุ่มเดิม มีเวลาเดินเล่นเตร็ดเตร่ มีเวลาดูหนังสือ มีเวลาคุย...แต่นี่ไม่ใช่เช่นนั้น นอกจากหนึ่งจะแพ้ท้องอาเจียนให้เขาต้องเป็นธุระขยะแขยงแล้ว ยังเอาแต่ใจตนอีกหลายๆ เรื่อง” (หน้า 52) ส่วนหนึ่งก็หึงหวงฉายาและคอยหาเรื่อง “เอะอะอะไรอ้างดูหนังสือ ยังกะว่าใครเค้าโง่งั้นนี่ พอเจอเพื่อนก็สูบบุหรี่กินเหล้ากัน” (หน้า 54) เมื่อช่วงข้าวใหม่ปลามันผ่านไป หนึ่งคลอดลูกเป็นผู้หญิง “ผิวเหมือนแม่ เครื่องหน้าเหมือนพ่อ คิ้วยาวเรียว จมูกก็โด่ง...ปากนิดนึง อุ๊ย...เหมือนตุ๊กตา...” (หน้า 76) หนึ่งก็เริ่มลดน้ำหนักทำตัวให้สวยเหมือนแต่ก่อน ไม่สนใจลูกและสามี จากนั้นจึงออกไปทำงานและมีสามีใหม่ ที่ “ทำงานอยู่ด้วยกันนั่นแหละ...อายุก็คงแก่กว่าฉายาแยะเหมือนกัน อาจจะราวๆ สามสิบ” (หน้า108) พ่อม่ายเมียทิ้งอย่างฉายาได้รับบทเรียนจากหน้าต่างบานแรกนี้อย่างที่สุด ผู้แต่งตั้งชื่อเรื่อง “หน้าต่างบานแรก” ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ ซึ่งมีความเหมาะสมกับตัวละคร “ฉายาอายุเกือบยี่สิบ กำลังเป็นหนุ่มที่อยากค้นให้พบโลกอันแสนวิเศษ มหัศจรรย์” (หน้า 2) เมื่อเปิดหน้าต่างบานแรกออกไปเจออะไร “ก็ซาบซึ้งว่าไอ้นั่นแหละคือโลกทั้งหมด” (หน้า 66) จะเห็นว่าฉายาขาดประสบการณ์ชีวิต ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างโฉมและตระการจึงรู้ดีถึงอนาคตของวัยรุ่นที่ชิงสุกก่อนห่าม รักกันง่ายๆ และมักเบื่อหน่ายกันเร็ว “นึกอยู่แล้วเชียวว่าสักวันจะได้ยินลูกพูดประโยคนี้ เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเร็วถึงเช่นนี้เท่านั้น” (หน้า 52) สำหรับตัวละคร “ฉายา” เปิดหน้าต่างบานแรกของเขาออกมาเจอต้นอุตพิด ที่คิดว่าต้นไม้นี้สวยที่สุด คือเปิดโลกกว้างออกมาเจอปัญหาชีวิตการชิงสุกก่อนห่ามที่เป็นปัญหาตามมาแทบจะแก้ไม่ตก ปัญหาการชิงสุกก่อนห่ามในปัจจุบันนี้มีอยู่มาก ทั้งที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องการทำแท้งทารก 2002 ศพ ซึ่งเป็นข่าวดังครึกโครม จนปัจจุบันนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หลายฝ่ายเห็นว่าห้ามปรามการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไม่ได้ จึงหันมารณรงค์ให้วัยรุ่นใช้ ถุงยางอนามัย เพื่อคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศที่จะก่อเกิดเป็นปัญหาสังคมต่อไป “หน้าต่างบานแรก” สะท้อนปัญหาสังคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสังคมมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ผู้แต่งกลับนำมาสร้างสรรค์เป็นงานเขียนที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นคติสอนใจผู้อ่านที่กำลังจะเปิดหน้าต่างบานแรกหรือเปิดหน้าต่างไปแล้วได้คิดให้รอบคอบก่อนที่กระทำสิ่งใดลงไป เพราะมิใช่ผู้กระทำฝ่ายเดียวที่เสียใจ แต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้างอีกด้วย

หนุ่มชาวนา-รักการอ่าน

เรื่องย่อหนุ่มชาวนา เริ่มเรื่องมีครูคนหนึ่งจากในเมืองมาประจำอยู่ที่ทุ่งหนองหลวงโดยมาพักอยู่กับบ้านชาวนาที่มีชื่อว่า “สุข” มีภรรยาชื่อ “พิม” มีน้องชื่อ “ทอง” มีลูกอยู่ทั้งหมด 8 คน ลูกคนโตมีชื่อว่า “เสา” ในตอนแรกที่ครูมาทุ่งหนองหลวงนี้โดยมีสุขไปรับมาที่บ้าน ในหมู่บ้านนี้เป็นชาวนาทั้งหมดเมื่อครูมาถึงได้ดูสภาพหมู่บ้าน โรงเรียน และบ้านที่ตนจะมาพัก ซึ่งครูจะรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับสภาพที่ได้เห็นหลังจากนั้นสุขก็จะแนะนำครอบครัวให้ครูหนุ่มรู้จักและให้พิมผู้เป็นภรรยาไปทำอาหารมา ขณะกินข้าวครูหนุ่มได้สังเกตการกินของชาวนากับตนว่าแตกต่างกัน คือต้องใช้มือกิน และคนเมืองเช่นตนนั้นกินกับมากกว่าชาวนามาก เมื่อกินเสร็จทองจึงนำกระเป๋าของครูไปขึ้นไว้บนเรือนของตนเพราะเรือนของสุขซึ่งเป็นพี่ชายนั้นมีคนแน่นแล้ว เมื่อถึงเวลากลางคืนทองหยิบปืนแก๊ปลำกล้องทองเหลืองมาไว้ตรงหัวนอน จากนั้นเขาก็นอนลงและทองได้อธิบายให้ครูหนุ่มได้รู้จักทุ่งหนองหลวงดียิ่งขึ้น ทองเล่าว่ากลางทุ่งนี้ทุกคนต้องช่วยตัวเองเพราะอยู่ห่างไกล ปืนช่วยเขาจากขโมยที่จะมาขโมยควาย ครูสังเกตว่าเสียงพวกเด็กเงียบไปหมดแล้วเพราะชาวนานอนกันหัวค่ำเสมอ สักพักก็มีเสียงฟ้าคำรามมาจากตำบลอื่น ทองจึงพูดถึงฝนจนหลับไป สักพักมีเสียงปืนของทองที่ยิงขโมยที่เข้ามาเอาควายทำให้ครูหนุ่มรู้ว่าใช้ชีวิตที่นี่นั้นไม่ง่ายเลย ในตอนเช้าทองได้ทำการตัดไม้ไผ่มาล้อมคอกเพิ่ม ส่วนครูหนุ่มได้ลงจากเรือนและได้พบว่าอากาศยามเช้าที่นี่สดชื่นมากหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จเสาได้ทำหน้าที่ต่างๆ ของตนซึ่งจะทำให้เขารับงานหนักได้ตอนโต ทองขนไม้ไผ่กลับมาเต็มเกวียนและเริ่มล้อมรั้วโดยมีสุขช่วยอยู่ด้วย ทำให้ครูหนุ่มรู้ว่าชาวนานั้นช่วยกันทำงานไม่มีเกี่ยงงานกันทำ ตกกลางคืนมีฝนแรกมาท่าทีของครอบครัวสุขนั้นดีใจกันมากเด็กๆ ก็พากันออกมาเล่นน้ำ ซึ่งต่างกับครูหนุ่มที่รู้สึกว่าตนอ่อนแอกว่าพวกเด็กๆ ซะอีกเพราะตนเป็นไข้ วันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาเริ่มทำนาและเริ่มเปิดการเรียนการสอน สักพักแดดที่เคยจ้าก็กลายเป็นฝนตกมาอีกแล้ว ครูหนุ่มรู้สึกชื่นชมชาวนา ธรรมชาติสร้างให้ชาวนาแข็งแรงไม่เจ็บป่วย “สายบัว” เป็นคนที่สนิทกับครอบครัวของสุขมาก และทำงานได้เก่งมาก ผู้หญิงชาวนานั้นทำงานต่าง ๆ มากกว่าผู้ชาย สายบัวได้มาคุยกับพิมสักพักจึงกลับ ขณะที่สอนหนังสืออยู่ก็มีควายขวิดกันเพื่อแย่งคู่ เด็กๆ จึงพากันไปดูและได้มีการพนันกันว่าควายใครจะชนะ งานไถยังดำเนินไปอย่างจำเจจนมีเจ๊กขายของเข้ามาขายของให้กับชาวนา ครูหนุ่มสังเกตเห็นว่าการขายของเป็นไปแบบมัดมือชก คือการที่เจ๊กตั้งราคาของเองและชาวนาก็ไม่มีใครต่อรองราคา แต่ชาวนาก็ยินดีที่จะซึ้อ พิมเลือกซื้อเสื้อให้สุขและทอง ส่วนตนยังไม่เอา เดือน 7 ข้างแรมกล้าข้าวโตได้ที่ จึงเตรียมทำการลงแขกดำนา ที่ครอบครัวของสุขเร่งทำงานให้ทันดำนาในวันรุ่งขึ้นโดยไม่เกี่ยงงานกันทำและยังช่วยกันทำด้วยแม้แต่เสาที่ยังเป็นเด็กก็ยังทำหน้าที่หาอาหาร ตกดึกทิดโกยหิ้วเหล้าที่เสียเดิมพันเมื่อควายขวิดกัน 2 ขวดมาที่บ้านสุข สุขจึงตะโกนเรียกไอ้แวว และทิดมั่งมาร่วมด้วยจึงเฮฮากันจนดึกจึงแยกย้ายกันไปนอน ตกดึกครูหนุ่มได้ตกใจตื่นเพราะเสียงสุนัขเห่า มีขโมย แต่ทองหลับสนิทครูจึงค่อยๆ คลานไปปลุกจากนันมีการยิงกันสักพักโจรจึงหนีไป วันต่อมาเป็นวันลงแขกชาวบ้านละแวกนั้นมาช่วยกันมากมาย มีการหยอกล้อกันสนุกสนาน บ่ายแก่ๆ การดำนาก็เสร็จสิ้นลงทุกคนรีบกลับบ้านเพราะว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเข้าพรรษา พิมรับหน้าที่เป็นช่างตัดผมประจำบ้าน เย็นวันนั้นพิมทำขนมตาลเพื่อเลี้ยงพระในวันรุ่งขึ้น ในเย็นวันหนึ่งได้มีชายแปลกหน้า 3 คนมาแวะขอข้าวกินท่าทางไม่น่าไว้วางใจพวกทิดโกยจึงซุ่มอยู่ดงโสนโดยมีสุขและครูหนุ่มอยู่รับแขก สักครู่ครูหนุ่มได้หาวิธีไม่เพิ่มปืนแก่ศัตรูโดยวิธีอ้างว่าจะไปยิงนกแล้วจึงลงมารวมกับพวกข้างล่าง ในคืนนั้นทุกคนต้องนั่งเฝ้าอยู่ใต้โรงนาเผื่อว่าโจรจะกลับมา สายวันรุ่งขึ้นมีตำรวจ 3 นายมาขอข้าวกินและเล่าว่าตามคนร้ายมา สุขจึงเล่าให้ฟัง เมื่อกินข้างเสร็จตำรวจจึงออกไล่ตามต่อไป อีก 2 วันต่อมาก็ถึงสิ้นเดือนครูจึงตกลงใจเอาเงินเดือนไปซื้อปืนให้ทองและเงินที่เหลือซื้อเสื้อให้เด็ก และผ้าให้พิม เขาคิดว่าเงินที่ใช้ในครั้งนี้คุ้มค่าที่สุดที่เคยใช้มาในชีวิตแล้ว หลังจากมีปืนพวกเขาก็นอนหลับกันได้สนิทขึ้น ย่างเข้าเดือน 10 ข้าวก็ปลูกเสร็จ ครูและพวกชาวนาจึงมีเวลาว่าง สุขจึงพาครูไปแนะนำตามบ้านต่างๆ เพื่อให้สนิทสนมกัน ชาวนาทุกบ้านเป็นคนดีต้อนรับขับสู้โดยไม่รังเกียจ สายวันนั้นพิมทอเสื่อโดยมีสายบัวช่วยด้วย สักพักลูกคนเล็กร้องพิมจึงให้ทองทำแทน พอเที่ยงสายบัวก็ไปทำข้าวเม่าเป็นอาหารเที่ยง ตกเย็นทองกับครูก็ออกไปเก็บดอกโสนที่ริมน้ำและได้เจอกับสายบัวที่กลับบ้านไปแล้วกำลังเก็บสายบัวไปแกงส้ม ใกล้ถึงวันสารททุกๆ บ้านเตรียมทำกระยาสารท เสร็จจากทำขนมทุกคนก็เสริมสวยกัน ค่ำลงก็มีเสียงปืน สุขเล่าว่าเป็นประเพณีของที่นี่ รุ่งขึ้นทุกคนก็ตื่นแต่เช้าไปเข้าวัด หลังจากจบงานบุญก็มีบางคนมาจับกลุ่มเล่นคู่คี่กัน เมื่อกลับบ้านทองจึงไปตรวจนาแล้ววิ่งกลับมาบอกว่าปลาขึ้น ปลาขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ชาวนาชื่นชอบเพราะจะได้ปลามาเป็นอาหารมากมาย เดือน 1 ข้างแรมน้ำในนาเริ่มแห้งข้าวเริ่มตกรวง ลมหนาวเริ่มมาแล้ว ชาวนาต้องทำงานแข่งกับเวลาไม่เช่นนั้นข้าวที่อุตส่าห์ปลูกมาก็อาจจะเสียหายได้ ที่บ้านสุขเริ่มเกี่ยวข้าวเป็นคนแรกมีการลงแขกด้วย งานอย่างนี้ผู้หญิงถนัดกว่าผู้ชาย ในตอนเย็นทองได้ทำซุ้มไว้นอนจากฟางซึ่งอบอุ่น ช่วยครูหนุ่มได้มากทีเดียวเพราะถึงแม้ครูได้ปรับตัวในการใช้ชีวิตที่ทุ่งหนองหลวงนี้หลายอย่างแล้วก็ยังไม่อาจทนลมหนาวได้ ในคืนหนึ่งครูหนุ่มได้ยินเสียงปืนดังจึงตื่น ปรากฏว่ามีโจรเข้ามาขโมยควายอีกแล้ว แต่งวดนี้มันไม่ได้ควายแต่ได้ชีวิตของเสาไปแทน รุ่งขึ้นชาวบ้านมาช่วยกันทำหีบศพและจัดงานศพให้ โรงนาที่เคยมีความสุขก็เงียบเหงาลง เดือน 3 ลมหนาวพัดมามากขึ้น ชาวนาต้องทำงานแข่งกับเวลาในการนวดข้าว ทองเลือกพื้นที่ทำลานข้าว เมื่อทำเสร็จจึงไปมัดข้าวและหาบเข้าลานเพื่อเตรียมทุบข้าว ในการทุบข้าวนี้นิยมทำกันเวลากลางคืนและมีการลงแขกหมุนเวียนกันไป เจ้าของบ้านมักนิยมเลี้ยงเหล้าให้ผู้ชายและเลี้ยงขนมหวานสำหรับผู้หญิง พอดึกชาวบ้านก็แยกย้ายกลับไปนอนเอาแรงทำต่อในคืนถัดไป ครูหนุ่มเข้าไปนอนในกองฟาง ครูได้ปรับตัวให้เข้ากับทุ่งหนองหลวงได้แล้วทั้งเรื่องการกินอยู่และการทนแดดทนฝน กองข้าวเปลือกกองอยู่ที่ลานทุกคนช่วยกันตักข้าวโยนขึ้นบนอากาศเพื่อให้ลมพัดฝุ่นและข้าวลีบๆ ออกไป วันรุ่งขึ้นเฮงก็ได้มารับข้าวที่ติดกันไว้ และสุขได้ขายข้าวเพิ่มอีก 2 เกวียน ครูหนุ่มไม่ชอบใจในการตวงของเฮงเพราะเป็นการโกงปากถัง โกงชาวนา โกงคนที่ตนรู้จัก จากนั้นทองและสุขได้ทำขวัญข้าวและเก็บข้าวเข้ายุ้ง เมื่อเสร็จจึงทำการเสริมสวยกันอีกครั้งก่อนไปงานวัด เย็นวันนั้นทิดโกยกระซิบบอกครูว่าสุขให้ตนเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอสายบัวให้ทอง ตกกลางคืนเพื่อนบ้านละแวกนั้นก็พากันมาฉลองที่บ้านสุข รุ่งเช้าก็ออกเดินทางไปวัดกันตั้งแต่เช้ามืดทุกคนสรงน้ำพระแล้วค่อยไปเดินซื้อของ ตอนบ่ายมีการเทศน์บนศาลา ผู้คนเงียบกันอย่างน่าประหลาดใจ พอมืดคนก็ยังเต็มวัด มีแสงสว่างเรืองรอง หนุ่มสาวหัวเราะกันเบิกบาน ผู้คนพากันนั่งที่หน้าเวทีเพื่อเตรียมดูลิเก การแสดงเริ่มแล้วแต่ชีวิตของชาวนายังไม่จบ ยังคงวนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป หนุ่มชาวนา ผู้เขียน นิมิตร ภูมิถาวร องค์การค้าคุรุสภา จัดพิมพ์ จำนวนหน้า 104 หน้า

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หนังสือดีมีประโยชน์


อยู่กับก๋ง - รักการอ่าน

 
 อยู่กับก๋ง บ้าน สวน พ.ศ.2548 หยก ชายชราวัย 60 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของตน มีผลงานตีพิมพ์มากมาย ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย เมื่อมองภาพครอบครัวที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้ หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋ง ชายชราชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานซ่อมเซรามิค อันเป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีน ความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึง หยก เด็กกำพร้าที่ก๋งได้อุปการะไว้ หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หยกมักสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น จนวันหนึ่งหยกได้พบเห็นเด็กกำพร้าที่ถูกเอามาวางทิ้งไว้ หยกจึงได้เข้าใจว่าโลกนี้ยังมีเด็กโชคร้ายอีกหลายคนนัก และเพื่อนเขาบางคนเช่น ป้อม ลูกชายของ คุณนายทองห่อ กับคุณปลัด ที่แม้จะมีพ่อแม่พร้อมหน้า หากหยกได้รู้ความจริงว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่การปั้นหน้าใส่กัน หยกจึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้วการที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงต่างหากที่ทำให้ เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว ชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจู ซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือ เกียว หลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำ หรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูก หลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น สมพร หญิงสาวผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากซ่องโสเภณี แฉล้ม และไพศาล คู่ผัวเมียที่ทะเยอทะยานในวัตถุจนตกเป็นทาสการพนัน และหาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯ ชุมชนห้องแถว พ.ศ.2548 หยก กลับไปเยี่ยมชุมชนห้องแถวอีกครั้ง เขาเพ่งมองภาพถ่ายขาวดำของงานวันแซยิด ในห้องแถวหลังเก่าของตัวเอง เรื่องราวเก่าๆ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าวันนี้ชุมชนห้องแถวจะเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมากกว่าวันก่อนแล้วก็ตาม หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งนอนอ่านหนังสือให้อากงของตัวเองฟัง หยกนึกถึงภาพตัวเองกับก๋งในวัยเด็ก และยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อหนังสือ “อยู่กับก๋ง” บนหน้าปก หยกเหม่อมองท้องฟ้าราวกับจะมองหาก๋ง อยากให้ก๋งได้เห็นว่าวันนี้ เขาได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับก๋งแล้ว ข้อคิดที่ได้จาก เรื่อง อยู่กับ ก๋ง ความ ยากจน...กำลังใจของชีวิตไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว เพราะความจนความรวยเราเลือกไม่ได้ แต่ความดีความเลว เราเลือกทำเลือกเว้นได้...ความสุขของคนร่ำรวย คือ การนั่งเก็บเกี่ยวผลไม้จากงานที่ทำสำเร็จไปแล้วในอดีต แต่คนจนมีความสุขกับการได้เริ่มทำงาน ความจนเป็นนายที่คอยชี้นิ้วบัญชา ความดิ้นรนเป็นมือที่คอยผลักดัน ความเพียรเป็นพี่เลี้ยงคอยพยุงมิให้ระทดท้อ เทพเจ้าแห่งความโชคดีไม่เคยเอื้อมมือมาแตะหน้าผากอวยชัยคนที่เกียจคร้าน ก๋งสอนให้หยกยอมรับความเป็นจริงของชีวิต มีความมั่นใจในตัวเอง...เข้มแข็ง บุกบั่น เพื่อความอยู่รอด หยกเป็นสุขได้ในความขัดสนยากจน และไม่เคยท้อแท้

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พ่อสอนลูก - รักการอ่าน

พ่อสอนลูก ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชื่อ ฯพณฯทวี บุณยเกตุ เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เคยเป็น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวง มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาและพากเพียนน่ายึดถือไว้เป็นตัวอย่างสำหรับอนุชนรุ่นหลัง ครั้งหนึ่งฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ มีงานต้องจากประเทศไทย ไปพำนักอยู่ในเมืองปีนังเป็น เวลาหลายปี จำเป็นต้องละทิ้งบุตรชายหญิงคือ คุณวีระวัฒน์ และ คุณภัทรฤดี บุณยเกตุไว้ในความดูแลของญาติอีกครอบครัวหนึ่ง แต่มีความอาทรห่วงใยบุตรธิดา ในด้านความประพฤติมรรยาท อุปนิสัยอันดีงามและคุณธรรมอันสูงส่ง ซึ่งท่านตระหนักว่ามีค่าเหนือสมบัติอื่นใดจึงเป็นแรงดลใจให้ ท่านผู้นี้มีจดหมายมาสั่งสอนบุตรทั้งสองตลอดระยะเวลาที่จากกัน จดหมายหลายฉบับที่ท่านเขียนถึงบุตรธิดา มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ มีแนวคิดให้น่าจดจำนำไปปฏิบัติตามและ ยังเป็นแนวทางสำหรับบุคคลทั่วไปทั้งหลาย ที่เป็นบิดามารดาของเด็กยุคนี้ และยุคต่อๆไปได้เป็นอย่างดีไม่มีวันล้าสมัย และเหมาะที่จะให้เด็กอ่านเพื่อยึดถือเป็นแนวทางประกอบการอบรมสั่งสอนได้อย่างดีอีกด้วย